อีกหนึ่งคำถามหลังจากรู้จักกับตลาด Forex
กันแล้วก็คือซื้อขายอย่างไรจึงจะได้กำไร ซึ่งการซื้อขายในตลาด Forex
จะสามารถทำได้สองทางคือ
- Buy ซื้อเมื่อราคาถูกแล้วขายราคาแพง คือเปิดออเดอร์ Buy ตอนที่ราคากร๊าฟวิ่งลงต่ำแล้ว Sell ตอนที่กร๊าฟวิ่งขึ้นสูงเพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร
- Sell (Short) ขายราคาแพงแล้วซื้อกลับตอนราคาถูก
คือเปิดออเดอร์ Sell (Sort) ตอนที่กร๊าฟวิ่งขึ้นสูง แล้ว Buy
ตอนที่กร๊าฟวิ่งลงต่ำเพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร
ถึงตอนนี้บางท่านก็อาจจะยังงง ๆ กับการ Buy และ Sell อยู่จึงขอยกตัวอย่างจากบัญชี Standard ดังนี้
ตัวอย่างเปิดออเดอร์ Buy
1. คุณจะเปิดออเดอร์ที่ 0.01 lot ได้กำไร-ขาดทุนเท่ากับจุดละ 0.1$
2. ถึงตอนนี้คุณคิดว่ากร๊าฟน่าจะวิ่งลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้วจึงได้เปิดออเดอร์ Buy ที่ราคา 1.2750
3. พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งกร๊าฟได้วิ่งขึ้นไปถึงราคา 1.2850 คุณก็ได้ทำการ Sell เพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร
4. จากการเปิด Buy ที่ราคา 1.2750 แล้ว Sell ที่ราคา 1.2850 จะเท่ากับได้กำไร 100 จุด
5. จากข้อ 1. เท่ากับกำไรที่ได้จุดละ 0.1$ ก็เอา 0.1$ คุณ 100 จุด ก็เท่ากับได้กำไร 10$
ตัวอย่างเปิดออเดอร์ Sell
1. คุณจะเปิดออเดอร์ที่ 0.01 lot ได้กำไร-ขาดทุนเท่ากับจุดละ 0.1$
2. ถึงตอนนี้คุณคิดว่ากร๊าฟน่าจะวิ่งขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วจึงได้เปิดออเดอร์ Sell ที่ราคา 1.2850
3. พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งกร๊าฟได้วิ่งลงถึงราคา 1.2750 คุณก็ได้ทำการ Buy เพื่อปิดออเดอร์ทำกำไร
4. จากการเปิด Sell ที่ราคา 1.2850 แล้ว Sell ที่ราคา 1.2750 จะเท่ากับได้กำไร 100 จุด
5. จากข้อ 1. เท่ากับกำไรที่ได้จุดละ 0.1$ ก็เอา 0.1$ คุณ 100 จุด ก็เท่ากับได้กำไร 10$
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ตลาด Forex คืออะไร
ตลาด Forex (FOReign Exchange market) คือ
ตลาดการค้าสกุลเงินระหว่างประเทศ (การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน)
ในการซื้อ-ขายเงินตราเหล่านี้ผู้ค้าจะสั่งซื้อเงินสกุลหนึ่งเพื่อแลกกับเงิน
สกุลอื่น ตัวอย่างเช่น
หากคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะลดลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร
ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ประกอบการค้าอัตราแลกเปลี่ยนจะขายเงินดอลลาร์และซื้อ
เงินยูโร
ถ้าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นผู้ประกอบการค้าสามารถขายเงินยูโรแล้วซื้อเงิน
ดอลลาร์กลับมาได้จำนวนที่มากขึ้น สิ่งนี้คือการทำกำไร
การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะคล้ายกับการซื้อขายหุ้น ผู้ประกอบการค้าหุ้นจะซื้อหุ้นถ้าพวกเขาคิดว่าราคาของมันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และจะขายสินค้าหากพวกเขาคิดว่าราคาของมันจะลดลงในอนาคต ในทำนองเดียวกันผู้ประกอบการค้าอัตราแลกเปลี่ยนจะซื้อคู่สกุลเงินถ้าพวกเขา คาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเพิ่มขึ้นในอนาคตและจะขายคู่สกุลเงินถ้าพวกเขา คาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลงในอนาคต
ตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนคือเงินดอลลาร์สหรัฐ
ใครเป็นผู้ซื้อขายในตลาด Forex
มีผู้เล่นที่แตกต่างกันจำนวนมากในตลาด forex มีทั้งที่ซื้อขายเพื่อทำกำไร บางคนค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง และบางคนต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้เล่นต่างๆ มีดังนี้
• ธนาคารกลางของรัฐบาล
• ธนาคารพาณิชย์
• ธนาคารเพื่อการลงทุน
• องค์กรระหว่างประเทศ
• กองทุนบำเหน็จบำนาญ
• โบรกเกอร์และตัวแทนจำหน่าย
• บริษัทประกันภัย
• บุคคลทั่วไป
ความน่าสนใจของตลาด Forex
• ตลาด online ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจึงทำให้ทุกคนสามารถซื้อ-ขายได้
• สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
• ตลาดจะไม่ถูกใครควบคุมไว้
• โบรกเกอร์เก็บค่าดำเนินการซื้อขายต่ำมาก
• ตลาดเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงในวันจันทร์ - ศุกร์
• ทุนเริ่มต้น $1!! หรือ 30 บาท
เวลาทำการของตลาด
ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์เวลาตี 4 จนถึงเช้าวันเสาร์เวลาตี 4 (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งตลาดต่างๆ มีเวลาเปิด-ปิดดังนี้
ลงทุนใน Forex ได้เงินจริงหรือเปล่า
เล่น Forex แล้วได้เงินจริงหรือเปล่า ผมขอตอบว่า...ได้จริงและเสียจริงครับ อยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า คุณต้องขยันศึกษาหาความรู้ หาเทคนิคในการทำกำไร ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ การที่จะเก่งได้นั้นก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน การเล่น Forex จะคล้ายๆ การเล่นหุ้น แต่เป็นการซื้อขายค่าเงินแทน ตลาดจะคล่องตัวกว่าตลาดหุ้นมาก โบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด Forex ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินปลอมให้ทดลองเทรด (Demo Account) จึงควรศึกษาให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยเล่นด้วยเงินจริง
การเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะคล้ายกับการซื้อขายหุ้น ผู้ประกอบการค้าหุ้นจะซื้อหุ้นถ้าพวกเขาคิดว่าราคาของมันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และจะขายสินค้าหากพวกเขาคิดว่าราคาของมันจะลดลงในอนาคต ในทำนองเดียวกันผู้ประกอบการค้าอัตราแลกเปลี่ยนจะซื้อคู่สกุลเงินถ้าพวกเขา คาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเพิ่มขึ้นในอนาคตและจะขายคู่สกุลเงินถ้าพวกเขา คาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลงในอนาคต
ตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สกุลเงินหลักที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนคือเงินดอลลาร์สหรัฐ
ใครเป็นผู้ซื้อขายในตลาด Forex
มีผู้เล่นที่แตกต่างกันจำนวนมากในตลาด forex มีทั้งที่ซื้อขายเพื่อทำกำไร บางคนค้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง และบางคนต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้เล่นต่างๆ มีดังนี้
• ธนาคารกลางของรัฐบาล
• ธนาคารพาณิชย์
• ธนาคารเพื่อการลงทุน
• องค์กรระหว่างประเทศ
• กองทุนบำเหน็จบำนาญ
• โบรกเกอร์และตัวแทนจำหน่าย
• บริษัทประกันภัย
• บุคคลทั่วไป
ความน่าสนใจของตลาด Forex
• ตลาด online ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจึงทำให้ทุกคนสามารถซื้อ-ขายได้
• สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
• ตลาดจะไม่ถูกใครควบคุมไว้
• โบรกเกอร์เก็บค่าดำเนินการซื้อขายต่ำมาก
• ตลาดเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงในวันจันทร์ - ศุกร์
• ทุนเริ่มต้น $1!! หรือ 30 บาท
เวลาทำการของตลาด
ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตั้งแต่เช้าวันจันทร์เวลาตี 4 จนถึงเช้าวันเสาร์เวลาตี 4 (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งตลาดต่างๆ มีเวลาเปิด-ปิดดังนี้
ตลาด | ประเทศ | เวลาทำการ | ||
ชื่อย่อ | ชื่อเต็ม | เวลาเปิด | เวลาปิด | |
AUD | Australian Dollar | Australia | 5.00 | 13.00 |
JPY | Japanese Yen | Japan | 7.00 | 14.00 |
CHF | Swiss Franc | Switzerland | 13.00 | 21.00 |
EUR | Euro | European Monetary Union | 13.00 | 21.00 |
GBP | British Pound | Great Britain | 14.00 | 22.00 |
USD | US Dollar | United States | 19.00 | 3.00 |
ลงทุนใน Forex ได้เงินจริงหรือเปล่า
เล่น Forex แล้วได้เงินจริงหรือเปล่า ผมขอตอบว่า...ได้จริงและเสียจริงครับ อยู่ที่ว่าคุณทำได้หรือเปล่า คุณต้องขยันศึกษาหาความรู้ หาเทคนิคในการทำกำไร ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ การที่จะเก่งได้นั้นก็ต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน การเล่น Forex จะคล้ายๆ การเล่นหุ้น แต่เป็นการซื้อขายค่าเงินแทน ตลาดจะคล่องตัวกว่าตลาดหุ้นมาก โบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด Forex ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินปลอมให้ทดลองเทรด (Demo Account) จึงควรศึกษาให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยเล่นด้วยเงินจริง
เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร!
“ซื้อขายตามกราฟหรือตามสูตรก็มีแต่จะโดนเจ้ามือกิน เพราะมันคือสิ่งที่เจ้ามือทำเอาไว้หลอกหรือดักเรา”
นี่คือความคิดของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการลงทุนตามกราฟหรือระบบการลงทุนที่ชัดเจนจะ สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว และซ้ำร้ายแล้วยังมีแต่จะรอวันโดนเจ้ามือหุ้นเล่นงานเข้าให้จนหมดตัวเสีย ด้วยแน่นอนครับว่าเมื่อฟังดูแล้วมันก็ออกจะมีเหตุผลอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ผมถือว่านี่เป็นคำพูดของคนที่ไม่ได้รู้จักและเข้าใจในศาสตร์ของการเก็งกำไร กันสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟังกันครับ
กราฟไม่ได้หลอก เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมองกราฟและตีความไปในแนวทางเดียวกัน
เหตุผลอย่างแรกของผมเลยก็คือทุกคนไม่ได้ตีความจากกราฟไปในแนวทางเดียวกัน ผมมักจะได้ยินหลายๆคนคุยกันว่าเวลาเกิดสัญญาณซื้อขายขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพราะ เจ้ามือทำขึ้นมาหลอกเราทั้งนั้นชุดความคิดแบบนี้มี Error ที่เป็นจุดตายอยู่อย่างหนึ่งก็คือคุณกำลังคิดไปเองว่าโลกนี้มีสัญญาณซื้อ ขายอยู่เพียงสัญญาณเดียว นั่นก็คือสัญญาณที่เจ้ามือเชื่อว่ามันคือสัญญาณและสร้างราคาขึ้นมาเท่านั้น!
แต่หากคุณจะลองคิดให้ดูอีกสักครั้ง คุณจะพบว่าพวกเราแต่ละคนนั้นแทบจะไม่มีใครมองกราฟเหมือนกันเป๊ะๆเลยด้วยซ้ำ (แม้กระทั่งระบบการลงทุนของแต่ละคนก็ไม่ได้มีจุดเข้าออกหรือเงื่อนไขการคัด เลือกหุ้นที่เหมือนกัน) แนวโน้มหุ้นของแต่ละคนที่สรุปออกมาจากกราฟนั้นแทบไม่มีทางตรงกัน, พร้อมกันและเกิดขึ้น ณ จุดเดียวกันตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วตลาดจะไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีใครที่คิดต่าง กัน
นี่คือเหตุผลข้อแรกที่ผมจะขอยกมาค้านว่า เจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร กราฟไม่ได้มีเอาไว้เพื่อให้คุณโดนหลอก และอันที่จริงก็ไม่มีเจ้ามือคนไหนจะมานั่งหลอกหรือพยายามหลอกคุณเพียงแค่คน เดียวอยู่ตลอดเวลา เจ้ามือเองก็ไม่สามารถรู้จนครบได้หรอกครับว่าพวกคุณแต่ละคนในตลาดรอสัญญาณ จากเครื่องมืออะไรอยู่ พวกเขาเองก็ไม่ได้ต่างกับเราในจุดที่ว่าต้องลอง Bet เพื่อแหย่ตลาดดูอาการตอบสนองของคนส่วนใหญ่เช่นกัน และก็แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่การซื้อขายของพวกเขาจะมีกำไรอย่างที่เราคิด
ดังนั้นแล้ว สัญญาณการซื้อขายตามกราฟในแต่ละครั้งของคุณจริงๆจึงไม่ได้เกิดจากเจ้ามือ แต่มันคือเงาสะท้อนซึ่งเกิดจากความเชื่อและมุมมองของคุณซึ่งมีต่อกราฟในรูป แบบต่างๆ และตรงนี้ก็จะกลายเป็นประสิทธิภาพของระบบการลงทุนนั้นๆซึ่งจะบ่งชี้ถึงผล กำไรในอนาคตของคุณอย่างแท้จริง
รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้
มีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับใช้กราฟหรือการสร้างระบบการลงทุนเท่า นั้นที่คิดว่าพวกเขาจะโดนเจ้ามือกินจนเจ๊ง นั่นก็เพราะเบื้องหลังของวิธีการลงทุนที่ดีและยั่งยืนทุกระบบนั้นเกิดขึ้น จากการวางตัวให้สอดคล้องไปกับกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่างหาก (ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไรตามวิจารณ์ญาณหรือตามระบบการลงทุนก็ตาม)แล้วอะไรคือตัวอย่างของกลไกพื้นฐานของตลาดหุ้นคืออะไรน่ะหรือครับ?
ตัวอย่างก็เช่น เราจะพบว่าการที่สภาวะของตลาดหุ้นจะเอื้อต่ำการทำกำไรและกลายเป็นขาขึ้นมา ได้นั้น ตลาดจะต้องมีหุ้นที่แข็งแกร่งและสดใหม่ขึ้นมานำตลาดเป็นจำนวนหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งหุ้นเหล่านี้ก็มักที่จะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานในขณะนั้นที่ดีเอา มากๆจนเรียกได้ว่าอยู่ในจุด Peak ของมันเลยทีเดียว และแน่นอนว่านั่นทำให้ราคาของพวกมันมักจะคลอเคลียหรือวิ่งขึ้นทำจุดสูงสุด ใหม่อยู่เสมอ (หรือที่พวกเรามักเรียกกันในภาษากราฟว่าหุ้น All Time High) และนี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่พวกเราควรจะมองหาและวางระบบการลงทุนให้ สอดคล้องกับพวกมันเอาไว้!
จำนวนหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่ All Time High และมีปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านบาท/เดือน เปรียบเทียบกับแนวโน้มของตลาดหรือ SET Index วัดจาก PnT Indicator 1%
ตัวอย่างผลการลงทุนจากระบบ ATH System ซึ่งทำการซื้อหุ้นเมื่อทำจุดสูงสุด All Time High และตัดขาดทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป เปรียบเทียบกับผลตอบของ SET index เมื่อลงทุนด้วยเงินทุนเริ่มต้นเท่าๆกันที่ 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 4/1/2000 – 16/11/2012
จากภาพแรกนั้นคุณจะเห็นได้ว่าเมื่อตลาดหุ้น SET Index เป็นขาขึ้น เราจะพบว่าจำนวนของหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่แบบ All Time High จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างชัดเจนเมื่อตลาดเป็นขาลง ซึ่งเมื่อเราได้วางระบบการลงทุนให้สอดคล้องกับกลไกพื้นฐานของตลาดในรูปแบบ นี้ ระบบการลงทุนง่ายๆนี้ก็สามารถที่จะทำกำไรออกมาจากตลาดได้อย่างยั่งยืนมาตลอด นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว แต่พวกมันคือปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกมาอย่างยาวนาน นั่นก็เพราะมันคือสิ่งที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นจากกลไกพื้นฐานของตลาดหุ้น ซึ่งไม่มีเจ้ามือคนไหนจะต้านทานได้
นอกจากนี้ตารางสรุปผลการเทรดของระบบ เราจะพบว่าระบบการลงทุนมีจำนวนการซื้อขายเกิดขึ้นถึงกว่า 700 ครั้ง และถ้าคุณคิดว่าเจ้ามือจะตามราวีคอยจ้องมองหาและดักทางเพื่อทุบหุ้นจาก สัญญาณการซื้อขายของคุณทุกๆครั้ง ผมคิดว่าคุณอาจกำลังวิตกจริตจริงๆและผมก็คงจะไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้จริงๆ ครับ (จริงแล้วถ้าเจ้ามือจะดันหุ้นมาดักเราทุกครั้งได้ก็ทำไปเหอะนะ อิอิ)
เจ้ามือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นของนักเก็งกำไรทุกคนคือสภาวะของตลาด
นี่คือสิ่งที่คุณควรสนใจจริงๆ มันคือกฏที่คุณจะต้องเข้าใจ … และถ้ายังไม่เข้าใจคุณก็จะค่อยๆสะสมชั่วโมงบินในตลาดจนเข้าใจไปเองในที่สุด ผมเองเชื่อว่ากฏธรรมชาติข้อนี้คือกฏที่พวกเราทุกคนในตลาดไม่อาจหนีพ้นไปได้ ไม่เว้นแม้แต่เจ้ามือหุ้นเหตุผลก็เพราะว่าถึงแม้ใครจะเป็นเจ้ามือปั่นหุ้นที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วถ้าตลาดไม่เอื้ออำนวยพวกเขาก็จะไม่สามารถล่อหลอกใครให้มาซื้อ มาขายได้สักเท่าไหร่นัก จริงอยู่ว่าเจ้ามืออาจปั่นราคาขึ้นมาได้แต่เจ้ามือก็ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าตลาดไม่ดีหรือแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นไม่ดึงดูดจริงๆพวกเขาก็จะต้องติดหุ้น ไปเองในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เองแนวโน้มของตลาดหรือหุ้นจึงเป็นเจ้ามือหุ้นตัวจริงของพวก เรา เจ้ามือหุ้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุบหุ้นให้เละเมื่อตลาดยังคงเอื้ออำนวย ต่อการทำกำไรของพวกเขา ผมเองเชื่อว่าด้วยการที่เรารู้จักวางตนให้ลงรอยไปในทิศทางเดียวกับตลาดอยู่ เสมอและตัดขาดทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป การกระทำเหล่านี้จะช่วยให้พอร์ทของคุณค่อยๆเติบโตขึ้นไปตามกาลเวลาโดย อัตโนมัติ (ถ้าคุณไม่สติแตกเสียวินัยไปเสียก่อน)
Short Note : แม้ว่าเจ้ามือจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหนในสายตาของเรา แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆกับเงินทุนที่ไม่มากสักเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินหรือกองทุนยักษ์ใหญ่ซึ่งมีอำนาจและผลกระทบกับ ตลาดโดยรวมจริงๆ เจ้ามือหุ้นปั่นจึงยังคงไม่สามารถที่จะปั่นหรือควบคุมสภาวะตลาดโดยรวมเอาไว้ ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้
นี่หมายความว่าผมกำลังบอกว่า “เจ้ามือ” ที่แท้จริงคือสถาบันหรือกองทุนยักษ์ใหญ่พวกนี้หรือไม่?
ในมุมมองของผมนั้น คำตอบก็คือทั้งใช่และไม่ใช่ คำตอบที่ว่าใช่ก็คือแน่นอนว่าสภาวะของตลาดโดยรวมส่วนใหญ่คือผลลัพท์จากทิศ ทางการซื้อขายของพวกเขา ส่วนที่ไม่ใช่ก็คือพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะฝืนสภาวะของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น หรือพื้นฐานของกิจการจริงๆไปได้เช่นเดียวกัน (และก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องทำเช่นนั้นด้วย) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการซื้อขายของพวกเขาก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่อันตรายและน่ากลัวจนตั้ง รับไม่ทันด้วยเช่นกันเนื่องมาจากขนาดของเม็ดเงินที่ใหญ่จึงทำให้พวกเขาต้อง ค่อยๆทยอยซื้อทยอยขาย จนเกิดเป็นแนวโน้มของตลาดซึ่งเราสามารถเห็นกันได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
คุณคือผู้กำหนดผลการลงทุนของคุณเองในระยะยาวไม่ใช่เจ้ามือหุ้น
ผมเชื่อว่าหลังจากที่ผมเขียนมาถึงตรงนี้ ก็คงยังจะมีอีกหลายๆคนที่จะพูดกลับมาว่า “แต่ก็มีนักลงทุนหลายๆคนที่ซื้อหุ้นตามกราฟแล้วขาดทุนเพราะหุ้นโดนทุบจนแทบ หมดตัวไม่ใช่หรือ?” ผมเองก็หวังว่ามันคงจะไม่ใช่คำพูดที่แรงเกินไปถ้าผมจะพูดว่านั่นเป็นปัญหา ของนักเก็งกำไรที่อ่อนหัดเท่านั้นที่ผมต้องพูดว่ายังอ่อนหัดนั่นก็เพราะนักเก็งกำไรที่ช่ำชองนั้นจะต้องรู้ ถึงขอบเขตและความเสี่ยงของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาจะต้องรู้ว่าสัญญาณต่างๆที่เกิดขึ้นจากกราฟนั้นเป็นเพียงการพยายามหา ช่องทางในการทำกำไรจากความไร้ประสิทธิภาพของตลาด (Market Annomalies) ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างมีมีนัยสำคัญจากผลทางสถิติในอดีตที่ผ่านมา สัญญาณต่างๆไม่ใช่ Holy Grail ที่จะต้องถูกต้องแม่นยำตลอดเวลาและไม่มีใครการันตีได้ว่าคุณจะไม่ขาดทุน เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่กราฟหรือ Technical Analysis นั้นถูกออกแบบมาเลย
คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าสัญญาณซื้อขายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นในกราฟนั้น คือเครื่องมือที่ถูกนำมาช่วยให้เรามีกำไรสุทธิเป็นบวกจากตลาดในระยะยาว แต่ไม่ได้จำเป็นว่ามันจะต้องถูกหรือช่วยพยากรณ์อนาคตได้เสมอ ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่ความเข้าใจถึงการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม (ผ่าน Risk-Money Managmenet) โดยเมื่อกลไกในการควบคุมความเสี่ยงได้ถูกนำมาปรับใช้กับระบบการลงทุนใดๆแล้ว ล่ะก็ โอกาสที่คุณจะขาดทุนจนแทบหมดตัวจากการโดนทุบหุ้นในแต่ละครั้งจะเป็นไปแทบไม่ ได้เลยเพราะคุณจะไม่มีวันถือหุ้นอยู่เพียงตัวเดียวหรือ 2-3 ตัวอีกต่อไป นอกจากนี้แล้วแรงเหวี่ยงหรือผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการโดนทุบโดนลากก็จะ ถูกประเมินและคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วด้วยซ้ำ
สำหรับนักเก็งกำไรผู้รู้งานนั้น ผลกำไร-ขาดทุนจากการเทรดในแต่ละครั้งจะไม่ใช่สิ่งที่มีผลสำคัญสำหรับพวกเขา พวกมันคือหนึ่งในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากระบบการลงทุนของพวกเขาเพียงเท่านั้น เอง ข่าวดีก็คือกระบวนการจัดการความเสี่ยงทั้งหลายเหล่านี้นั้นเจ้ามือหุ้นแทบ ไม่สามารถที่จะเข้ามาบังคับการวางแผนการต่างๆของคุณได้เลยและนี่ก็คือเหตุผล ที่ผมจึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า
“เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร” นั่นเองครับ
บทความโดย mangmaoclub.com
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยน
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยน
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงใดๆ
มาอ่านบทความดีๆ น่าขบคิดกันดีกว่า...
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ : หน้าต่างอาเซียน
โดย ทนง ขันทอง
หลังจากที่ระบบการเงินสหรัฐอเมริกาล้มเมื่อปี 2008
มีการพิมพ์เงินโดยธนาคารกลางเฟดเดอรัล รีเซิร์ฟ ออกมาอย่างอุตลุด
เพื่อรักษาระบบไม่ให้พัง ไม่มีการเอาหนี้เสียจากธนาคารออกมาเลหลังขาย หรือปฏิรูปสถาบันการเงิน
ระเบียบบัญชีได้รับการผ่อนคลายเพื่อว่าจะไม่ต้องโชว์ความเสียหายของมูลค่าทรัพย์สินที่เสื่อมลงหลังจากฟองสบู่แตก
Fed เฟดรับซื้อหนี้เสียจนงบดุลปูดขึ้นมาจาก 6-7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนช่วงวิกฤติ เป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้
สิ้นปีนี้งบดุลของเฟดคาดว่าจะไปถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
ทาง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็อุ้มวอลล์สตรีท รวมทั้งออกมาตรการต่างๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนทำให้หนี้รัฐบาลกลางพุ่งจาก 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในปัจจุบัน มีผลทำให้การคลังสหรัฐยืนอยู่ปากเหว
มองไปข้างหน้างบประมาณจะขาดดุลกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี
อีก 10 ปีก็ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติโตแค่ปีละ 2% อย่างเก่งหรือเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขว่างงานล่าสุดขยับขึ้นไปเป็น 7.9%
อาการป่วยทางเศรษฐกิจแบบนี้ดูไม่ออกว่าจะฟื้นอย่างไร
และความเชื่อมันในค่าเงินดอลลาร์ในฐานะเป็นเงินสกุลหลักของโลกกำลังลดถอยลงทุกวัน
ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สำคัญ 2 เรื่องคือ
1. จีนต้องเร่งวางโครงสร้างระบบการเงินและสร้างความร่วมมือทางการเงินการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก
เพื่อเตรียมการลอยตัวค่าหยวน เพื่อให้หยวนเป็นเงินสกุลหลักอีกสกุลหนึ่งของโลก
2. ในขณะเดียวกันมีการพูดกันมากขึ้นถึงบทบาทของทองคำที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่แท้จริงเพราะว่า
ไม่มีใครพิมพ์ทองจากอากาศได้ ทำให้มีวินัยการเงินการคลังที่แท้จริง
ขณะนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเฟดอย่างเดียวที่ต้องพิมพ์เงินออกมาเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อมาช่วยลดภาระต้นทุนของแบงก์ด้วยการซื้อหนี้เสียออกมาและอุดงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลกลาง
นโยบายการพิมพ์เงินของเฟดออกมาเปล่าๆ จากกลางอากาศโดยไม่มีทองหรือทรัพย์สินอะไรหนุนหลังแบบนี้
ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ เป็นการทำสงครามการเงินไปในตัว
เพราะว่าแบงก์หรือพวกนักบริหารการเงินสามารถกู้เงินสกุลดอลลาร์ได้ถูกที่ 0.75%-1.0%
แล้วเอามาพยุงหุ้นดาวโจนส์รักษาฐานะทรัพย์สินของคน
และยังสามารถเอาดอลลาร์ถูกไปถล่มค่าเงิน หรือปั่นตลาดหุ้นตลาดการเงินประเทศอื่นๆ ได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าระบบการเงินของโลกมีปัญหาหนักหน่วง
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจะสงบ
เงินยูโร/ดอลลาร์ซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1.40-1.25
ในขณะที่ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 76-82 หยวน/ดอลลาร์อยู่ที่ 6.4-6.2
ดอลลาร์/ปอนด์อังกฤษอยู่ที่ 1.54-1.62 และสวิสฟรังค์/ยูโรอยู่ที่ 1.20
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนบ้านเราก็มีเสถียรภาพพอสมควร บาท/ดอลลาร์อยู่ในช่วง 30-31
แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเมื่อญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศว่า...
จะทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นจากการซบเซามามากว่า 20 ปี
หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือจะบังคับให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพิมพ์เงินเพิ่ม
เพื่อทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นจาก 1% เป็น 2% และทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัว
เงินที่เคยอยู่ช่วง 76-82 ต่อดอลลาร์ อ่อนตัวลงอย่างกะทันหัน มาแตะที่ 90-91 ในช่วงที่ผ่านมา
ไม่นานอาจจะถึง 100 ก็เป็นไปได้
ค่าเงินบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 3% กว่า ตอนนี้แตะ 29 แล้ว ทั้งปี 2012 บาทแข็งค่าขึ้น 3%
การรวมหัวกันทำสงครามการเงินโดยสหรัฐและญี่ปุ่นครั้งนี้
ทำให้รัสเซีย เยอรมนี เกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ออกมาโวย
เพราะการบีบค่าเงินดอลลาร์และเยนให้อ่อนตัวลง จะทำให้ค่าเงินประเทศอื่นแข็งค่าขึ้น
ความสามารถในการแข็งขันในการส่งออกจะลดลง
ถ้าจะลดค่าเงินตัวเองลงเพื่อแข่งกับดอลลาร์ เยนก็จะพากันไปตายกันเสียหมด
เพราะท้ายที่สุดจะไม่มีใครชนะกำไรในการขายของไม่มี เงินเฟ้อกินหมด
ไทยเรากำลังติดหางเลขไปด้วย ยังหาทางออกไม่เจอว่าจะแก้เกมกันอย่างไรเพราะยังมัวดูตำราอยู่
รัฐบาลอยากให้ค่าบาทอ่อน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าแทรกแซงมาก
เพราะยิ่งแทรกแซงยิ่งขาดทุน ที่จริงประเทศเล็กๆ อย่างไทยคงจะทำอะไรมากไม่ได้
เพราะสึนามิทางการเงินกำลังมา จะพึ่งพาการส่งออกเหมือนในอดีตไม่ได้
ตอนนี้คงต้องดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้ดีๆ
ด้วยการตุนทองและทำสวอปบาท/หยวนเพื่อปกป้องตัวเอง เหลือดอลลาร์แค่พอทำการค้าระหว่างประเทศ
เพราะระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ
ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ : หน้าต่างอาเซียน
โดย ทนง ขันทอง
หลังจากที่ระบบการเงินสหรัฐอเมริกาล้มเมื่อปี 2008
มีการพิมพ์เงินโดยธนาคารกลางเฟดเดอรัล รีเซิร์ฟ ออกมาอย่างอุตลุด
เพื่อรักษาระบบไม่ให้พัง ไม่มีการเอาหนี้เสียจากธนาคารออกมาเลหลังขาย หรือปฏิรูปสถาบันการเงิน
ระเบียบบัญชีได้รับการผ่อนคลายเพื่อว่าจะไม่ต้องโชว์ความเสียหายของมูลค่าทรัพย์สินที่เสื่อมลงหลังจากฟองสบู่แตก
Fed เฟดรับซื้อหนี้เสียจนงบดุลปูดขึ้นมาจาก 6-7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนช่วงวิกฤติ เป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้
สิ้นปีนี้งบดุลของเฟดคาดว่าจะไปถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
ทาง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็อุ้มวอลล์สตรีท รวมทั้งออกมาตรการต่างๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนทำให้หนี้รัฐบาลกลางพุ่งจาก 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในปัจจุบัน มีผลทำให้การคลังสหรัฐยืนอยู่ปากเหว
มองไปข้างหน้างบประมาณจะขาดดุลกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี
อีก 10 ปีก็ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติโตแค่ปีละ 2% อย่างเก่งหรือเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขว่างงานล่าสุดขยับขึ้นไปเป็น 7.9%
อาการป่วยทางเศรษฐกิจแบบนี้ดูไม่ออกว่าจะฟื้นอย่างไร
และความเชื่อมันในค่าเงินดอลลาร์ในฐานะเป็นเงินสกุลหลักของโลกกำลังลดถอยลงทุกวัน
ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สำคัญ 2 เรื่องคือ
1. จีนต้องเร่งวางโครงสร้างระบบการเงินและสร้างความร่วมมือทางการเงินการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก
เพื่อเตรียมการลอยตัวค่าหยวน เพื่อให้หยวนเป็นเงินสกุลหลักอีกสกุลหนึ่งของโลก
2. ในขณะเดียวกันมีการพูดกันมากขึ้นถึงบทบาทของทองคำที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่แท้จริงเพราะว่า
ไม่มีใครพิมพ์ทองจากอากาศได้ ทำให้มีวินัยการเงินการคลังที่แท้จริง
ขณะนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเฟดอย่างเดียวที่ต้องพิมพ์เงินออกมาเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อมาช่วยลดภาระต้นทุนของแบงก์ด้วยการซื้อหนี้เสียออกมาและอุดงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลกลาง
นโยบายการพิมพ์เงินของเฟดออกมาเปล่าๆ จากกลางอากาศโดยไม่มีทองหรือทรัพย์สินอะไรหนุนหลังแบบนี้
ทำให้ค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่าหมดความน่าเชื่อถือ เป็นการทำสงครามการเงินไปในตัว
เพราะว่าแบงก์หรือพวกนักบริหารการเงินสามารถกู้เงินสกุลดอลลาร์ได้ถูกที่ 0.75%-1.0%
แล้วเอามาพยุงหุ้นดาวโจนส์รักษาฐานะทรัพย์สินของคน
และยังสามารถเอาดอลลาร์ถูกไปถล่มค่าเงิน หรือปั่นตลาดหุ้นตลาดการเงินประเทศอื่นๆ ได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าระบบการเงินของโลกมีปัญหาหนักหน่วง
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจะสงบ
เงินยูโร/ดอลลาร์ซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1.40-1.25
ในขณะที่ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 76-82 หยวน/ดอลลาร์อยู่ที่ 6.4-6.2
ดอลลาร์/ปอนด์อังกฤษอยู่ที่ 1.54-1.62 และสวิสฟรังค์/ยูโรอยู่ที่ 1.20
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนบ้านเราก็มีเสถียรภาพพอสมควร บาท/ดอลลาร์อยู่ในช่วง 30-31
แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเมื่อญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศว่า...
จะทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นจากการซบเซามามากว่า 20 ปี
หนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือจะบังคับให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพิมพ์เงินเพิ่ม
เพื่อทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นจาก 1% เป็น 2% และทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัว
เงินที่เคยอยู่ช่วง 76-82 ต่อดอลลาร์ อ่อนตัวลงอย่างกะทันหัน มาแตะที่ 90-91 ในช่วงที่ผ่านมา
ไม่นานอาจจะถึง 100 ก็เป็นไปได้
ค่าเงินบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้น 3% กว่า ตอนนี้แตะ 29 แล้ว ทั้งปี 2012 บาทแข็งค่าขึ้น 3%
การรวมหัวกันทำสงครามการเงินโดยสหรัฐและญี่ปุ่นครั้งนี้
ทำให้รัสเซีย เยอรมนี เกาหลีใต้ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ออกมาโวย
เพราะการบีบค่าเงินดอลลาร์และเยนให้อ่อนตัวลง จะทำให้ค่าเงินประเทศอื่นแข็งค่าขึ้น
ความสามารถในการแข็งขันในการส่งออกจะลดลง
ถ้าจะลดค่าเงินตัวเองลงเพื่อแข่งกับดอลลาร์ เยนก็จะพากันไปตายกันเสียหมด
เพราะท้ายที่สุดจะไม่มีใครชนะกำไรในการขายของไม่มี เงินเฟ้อกินหมด
ไทยเรากำลังติดหางเลขไปด้วย ยังหาทางออกไม่เจอว่าจะแก้เกมกันอย่างไรเพราะยังมัวดูตำราอยู่
รัฐบาลอยากให้ค่าบาทอ่อน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าแทรกแซงมาก
เพราะยิ่งแทรกแซงยิ่งขาดทุน ที่จริงประเทศเล็กๆ อย่างไทยคงจะทำอะไรมากไม่ได้
เพราะสึนามิทางการเงินกำลังมา จะพึ่งพาการส่งออกเหมือนในอดีตไม่ได้
ตอนนี้คงต้องดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้ดีๆ
ด้วยการตุนทองและทำสวอปบาท/หยวนเพื่อปกป้องตัวเอง เหลือดอลลาร์แค่พอทำการค้าระหว่างประเทศ
เพราะระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือพลิกเป็นหลังมือ
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ประวัติ Money4FX
:: Money4FX คืออะไร? ::
เป็นเว็บไซต์ที่แนะนำเกี่ยวกับการหาเงินผ่านอินเตอร์เน็ตครับ โดยการหาเงินที่ผมจะแนะนำนี้ ไม่ใช่งานขายตรง mlm หรือโฆษณา ไม่มีการออกนอกบ้าน คุณไม่ต้องโทรหาใคร
คุณสามารถใช้เวลาน้อยสุด เพียงแค่ 10 นาที หรือน้อยกว่านั้น(ผมเคยใช้น้อยสุด 3-5 นาทีครับ)
:: ประวัติ Money4FX ::
ก่อนอื่น ที่ผมจะมาตั้งบล็อคนี้ ผมเคยหางานที่ทำเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ต่างๆ มาได้ 3 ปี ก็ถือว่า หาได้พอสมควร มีทั้งเว็บคลิก เว็บอับโหลด แชร์ไฟล์ โฆษณา ขายตรง mlm โพสเว็บบอร์ด(อันนี้แจ่ม 555)
แต่ พอผมกลับมามองย้อนดูดีๆ สำหรับที่ผมทำแล้ว รายได้มันน้อยจริงๆ ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ไม่ใช่ว่างานมันยากจนเกินไปหรอกนะครับ แต่ว่า มันไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผมซะมากกว่า บางคนก็ทำรายได้ดีในการทำเว็บอัพโหลด บางคนก็ทำรายได้ดีในเว็บ Adsense ซึ่งแต่ละคนก็จะถนัดแตกต่างกันไปครับ
แล้วมันมีการหาเงินอีกรูปแบบหนึ่ง ที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้จัก แต่จะเริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับใครบางคนแล้ว
ซึ่งแน่นอน เพราะมันจะมาพร้อมเมื่อประเทศไทยเปิดตลาดอาเซี่ยนอย่างแน่นอน (พ.ศ. 2558)
สิ่งนั้นก็คือตลาดค่าเงิน ทองคำ น้ำมัน หรือการลงทุนที่ใหม่ๆ
ถามว่า ทำไมถึงพูดถึงเรื่องลงทุน? ... นั่นก็เพราะมันรายได้ดีกว่าทุกอย่างที่ๆ ผมกล่าวมาข้างต้นน่ะสิครับ ก็ตามที่บอก ไม่ใช่ข้างต้นที่กล่าวมาไม่มีคนประสบผลสำเร็จ แต่ว่า มันไม่เหมาะกับตัวผม ผมจึงไม่สามารถที่จะมีกำไรมากกว่า 3-50,000 ต่อเดือนได้ จากการหาเงินผ่านเน็ตที่กล่าวมาได้
คุณเบื่อไหม? กับที่มีคนมาประกาศทำเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่ขายตรง ไม่ต้องขายออก ไม่ต้องออกนอกบ้าน 100% แต่! เมื่อคุณไปสมัครแล้ว จริงๆ มันก็คือขายตรงนั่นเอง แน่นอน ทุกๆ คนคงมีความรู้สึกเหมือนผมคือ แค่เริ่มต้นยังหลอกคนอื่นแล้ว แล้วเมื่อไปทำจริงมันจะได้อย่างที่ว่าหรอ?(ผมพูดถึงบางทีมที่ทำแบบนี้นะครับ ซึ่งไม่ใช่ขายตรงทั้งหมด ส่วนที่ดียังมีมากกกก กว่านี้)
ซึ่งในบล็อคนี้เราจะสอนให้ทุกคนที่เข้ามาศึกษา สามารถทำเงินได้จากการลงทุนนี้
:: Money4FX เป็นการหาเงินออนไลน์ยังไงหรอ? ::
ครับ สำหรับบล็อคเรา จะเน้นด้านการลงทุนเป็นหลักครับ ซึ่งผมมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะทำให้คุณได้กำไรแน่นอน
:: ลงทุนงั้นหรอ? ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก! ::
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ ผมไม่ได้ให้คุณไปลงทุนในหุ้นสามัญ ฟิวเจอร์ หรือทองคำตามโบรกเกอร์ในประเทศไทย ที่ต้องมีเงินเป็นหมื่น เป็นแสน ถึงจะลงทุนได้หรอกนะครับ
ในเว็บเรา มีที่ๆ ดีกว่านั้นครับ คุณสามรถลงทุนได้เริ่มตั้งแต่ 30 บาท เท่านั้นเองครับ!!
:: Money4FX ทำตัวเป็นคนระดมทุนรึปล่าว? ::
เว็บเราไม่ทำแน่นอนครับ เพราะมันผิดกฏหมาย 100%
หากทุกท่านมีเรื่องข้องใจประการใด สามารถติดต่อผมได้ทุกตลอดเลยนะครับ ขอบคุณครับ ^^
เป็นเว็บไซต์ที่แนะนำเกี่ยวกับการหาเงินผ่านอินเตอร์เน็ตครับ โดยการหาเงินที่ผมจะแนะนำนี้ ไม่ใช่งานขายตรง mlm หรือโฆษณา ไม่มีการออกนอกบ้าน คุณไม่ต้องโทรหาใคร
คุณสามารถใช้เวลาน้อยสุด เพียงแค่ 10 นาที หรือน้อยกว่านั้น(ผมเคยใช้น้อยสุด 3-5 นาทีครับ)
:: ประวัติ Money4FX ::
ก่อนอื่น ที่ผมจะมาตั้งบล็อคนี้ ผมเคยหางานที่ทำเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ต่างๆ มาได้ 3 ปี ก็ถือว่า หาได้พอสมควร มีทั้งเว็บคลิก เว็บอับโหลด แชร์ไฟล์ โฆษณา ขายตรง mlm โพสเว็บบอร์ด(อันนี้แจ่ม 555)
แต่ พอผมกลับมามองย้อนดูดีๆ สำหรับที่ผมทำแล้ว รายได้มันน้อยจริงๆ ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ไม่ใช่ว่างานมันยากจนเกินไปหรอกนะครับ แต่ว่า มันไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผมซะมากกว่า บางคนก็ทำรายได้ดีในการทำเว็บอัพโหลด บางคนก็ทำรายได้ดีในเว็บ Adsense ซึ่งแต่ละคนก็จะถนัดแตกต่างกันไปครับ
แล้วมันมีการหาเงินอีกรูปแบบหนึ่ง ที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้จัก แต่จะเริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับใครบางคนแล้ว
ซึ่งแน่นอน เพราะมันจะมาพร้อมเมื่อประเทศไทยเปิดตลาดอาเซี่ยนอย่างแน่นอน (พ.ศ. 2558)
สิ่งนั้นก็คือตลาดค่าเงิน ทองคำ น้ำมัน หรือการลงทุนที่ใหม่ๆ
ถามว่า ทำไมถึงพูดถึงเรื่องลงทุน? ... นั่นก็เพราะมันรายได้ดีกว่าทุกอย่างที่ๆ ผมกล่าวมาข้างต้นน่ะสิครับ ก็ตามที่บอก ไม่ใช่ข้างต้นที่กล่าวมาไม่มีคนประสบผลสำเร็จ แต่ว่า มันไม่เหมาะกับตัวผม ผมจึงไม่สามารถที่จะมีกำไรมากกว่า 3-50,000 ต่อเดือนได้ จากการหาเงินผ่านเน็ตที่กล่าวมาได้
คุณเบื่อไหม? กับที่มีคนมาประกาศทำเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่ขายตรง ไม่ต้องขายออก ไม่ต้องออกนอกบ้าน 100% แต่! เมื่อคุณไปสมัครแล้ว จริงๆ มันก็คือขายตรงนั่นเอง แน่นอน ทุกๆ คนคงมีความรู้สึกเหมือนผมคือ แค่เริ่มต้นยังหลอกคนอื่นแล้ว แล้วเมื่อไปทำจริงมันจะได้อย่างที่ว่าหรอ?(ผมพูดถึงบางทีมที่ทำแบบนี้นะครับ ซึ่งไม่ใช่ขายตรงทั้งหมด ส่วนที่ดียังมีมากกกก กว่านี้)
ซึ่งในบล็อคนี้เราจะสอนให้ทุกคนที่เข้ามาศึกษา สามารถทำเงินได้จากการลงทุนนี้
:: Money4FX เป็นการหาเงินออนไลน์ยังไงหรอ? ::
ครับ สำหรับบล็อคเรา จะเน้นด้านการลงทุนเป็นหลักครับ ซึ่งผมมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะทำให้คุณได้กำไรแน่นอน
:: ลงทุนงั้นหรอ? ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก! ::
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดครับ ผมไม่ได้ให้คุณไปลงทุนในหุ้นสามัญ ฟิวเจอร์ หรือทองคำตามโบรกเกอร์ในประเทศไทย ที่ต้องมีเงินเป็นหมื่น เป็นแสน ถึงจะลงทุนได้หรอกนะครับ
ในเว็บเรา มีที่ๆ ดีกว่านั้นครับ คุณสามรถลงทุนได้เริ่มตั้งแต่ 30 บาท เท่านั้นเองครับ!!
:: Money4FX ทำตัวเป็นคนระดมทุนรึปล่าว? ::
เว็บเราไม่ทำแน่นอนครับ เพราะมันผิดกฏหมาย 100%
หากทุกท่านมีเรื่องข้องใจประการใด สามารถติดต่อผมได้ทุกตลอดเลยนะครับ ขอบคุณครับ ^^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)